ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน?
ที่จะรองรับผู้มีภาวะพึ่งพิง*
ระบบบริการดูแลระยะยาว (Long-Term Care) นโยบายสำคัญที่ต้องผลักดันต่อ
*หรือผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน-ติดเตียง
ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกว่า
245,907 คน* จากประชากรผู้สูงอายุทั้งหมด 11 ล้านคน
ถือเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อย
แต่ประเทศไทยยังขาดระบบบริการการดูแลระยะยาวที่เหมาะสม
ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของผู้ป่วย ครอบครัว ผู้ดูแล
และระบบสาธารณสุขในภาพรวม
*ข้อมูลจาก รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2563 (มส.ผส.)
คงจะดี.. หากประเทศไทย มีระบบบริการ
การดูแลระยะยาวที่ครอบคลุมประชากรสูงวัย
ได้ถ้วนหน้า และจัดสรรบริการพื้นฐาน
ที่ตอบสนองความต้องการได้
มีหลักประกันให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกทอดทิ้งและได้รับ
การดูแลเมื่อเข้าวัยชราและเมื่อมีภาวะพึ่งพิง ได้รับบริการ
ทางสุขภาพและสังคมที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ
เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง
สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ของความเป็นมนุษย์
ได้รับการดูแลที่บ้าน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
ไม่บกพร่องในปัจจัย 4 ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมถึงจิตใจ
ได้รับการดูแลที่ครอบคลุมทั้งมิติสุขภาพ
สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
มีสุขอนามัยที่ดี ได้รับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น มีผู้ดูแล
ใกล้ชิด ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมากเกินไป และไม่เป็น
ภาระของครอบครัว เป็นต้น
เพื่อให้ได้รับบริการและการสนับสนุนดังกล่าว ต้องมีทรัพยากรสำคัญ คือ
1) กำลังคน ได้แก่ ผู้ดูแล ซึ่งต้องมีความรู้ ประสบการณ์ และเวลา
2) งบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดหาอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง
ค่าใช้จ่ายในการดูแลระยะยาวของผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม (บาท/คน/เดือน)
ในการดูแลระยะยาว กลุ่มผู้สูงอายุติดเตียงมีค่าใช้จ่าย 19,129 บาท/คน/เดือน และผู้สูงอายุติดบ้านมีค่าใช้จ่าย 9,667 บาท/คน/เดือน รวมค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร และค่าเดินทาง*
ในขณะที่ผู้สูงอายุในบ้านเรา ได้รับเบี้ยยังชีพเริ่มต้นเพียงคนละ 600 บาทถ้วน
*ข้อมูลจาก รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 138 มีนาคม 2561 “ระบบประกันการดูแลระยะยาว : ระบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย”
แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ
เพื่อให้เกิดระบบการบริการที่ตอบโจทย์
ระบบการเงินการคลังเพื่อจัดบริการการดูแลระยะยาวของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องขอบเขตการบริการและชุดบริการสำหรับผู้สูงอายุ ติดบ้านติดเตียงที่ชัดเจน
การขาดปัจจัยที่สนับสนุนให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถทำหน้าที่ได้อย่าง มีคุณภาพ
ขาดการบูรณาการการจัดบริการทางสังคมกับบริการสาธารณสุข โดยที่การพัฒนากำลังคน (care manager และ caregiver) ยังไม่ทันสถานการณ์
ทำอย่างไร?
เพื่อให้มีข้อเสนอระบบหลักประกันการดูแลระยะยาวที่มีรายละเอียดชัดเจน เป็นที่ยอมรับและสามารถจะนำไปปฏิบัติจริงได้
และเพื่อพัฒนาข้อเสนอรูปแบบและแนวทางการทำงานของท้องถิ่น ที่จะสามารถทำให้เกิดแผนการดูแล ผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง โดยใช้การสนับสนุนทางการเงินจากแหล่งต่างๆ ร่วมกับการระดมทรัพยากร ในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะติดบ้าน ติดเตียงได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ
โดยแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อย่อย
ระบบหลักประกันการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง
บทบาทของท้องถิ่นในการจัดระบบบริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง
ระบบหลักประกันการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง
ข้อสรุป
ข้อสรุปเกี่ยวกับชุดบริการที่สำคัญและจำเป็นในการจัดบริการการดูแลระยะยาว
บทบาทของท้องถิ่นในการจัดระบบบริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง
- ระยะสั้น
ข้อเสนอ 1
ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมบทบาทการทำงานด้านผู้สูงอายุขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น
ข้อเสนอ 2
การพัฒนาบุคลากรและแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ สาธารณสุข ในท้องถิ่น
- ระยะยาว
ข้อเสนอ 3
การเพิ่มบทบาทและอำนาจในการบริหารจัดการให้ท้องถิ่น สามารถจัดการทาง การเงินและจัดสรรบุคลากรเองได้
สิ่งที่เกิดขึ้นจาก
กระบวนการ
Policy dialogue ไม่ได้มีแต่ผลลัพธ์เชิงเนื้อหา แต่ยังสามารถสร้างคุณค่าในการผลักดันเชิงนโยบาย
เข้าใจความต่างและเห็นจุดร่วมชัดขึ้น
เห็นจุดร่วมเรื่องการจัดตั้งกองทุนหลักประกัน เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับอนาคต ในระยะยาว ในขณะเดียวกัน ยังเกิดโอกาสให้ได้ ทำความเข้าใจฐานคิดของการออกแบบรายละเอียด ข้อเสนอที่ต่างกัน แต่การหารือช่วยให้เห็นแนวทางในการขับเคลื่อนร่วมกันต่อ
ช่วยเปิดมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสร้างการรับรู้
ผู้ดูแลที่เป็นญาติ ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการ นำไปใช้ในชีวิต จากที่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับ บริการหรือสวัสดิการของภาครัฐมาก่อน
ตัวแทนบุคลากรสาธารณสุข ตระหนักถึงความทุกข์ของญาติในการดูแลผู้ป่วย ทำให้อยากพัฒนางานต่อ และเห็นโอกาสในการจัดการอบรมให้ญาติหรือ เสริมสร้างชุมชนให้ดูแลผู้ป่วยได้ผู้เข้าร่วมจากต่างพื้นที่ได้เห็นรูปแบบการจัดระบบบริการที่แตกต่างกัน เห็นแนวทางทำให้ดีขึ้น และเกิดโอกาสการวางแผนทำงานร่วมกันในอนาคต
ตัวแทนจากท้องถิ่นได้ค้นพบว่า มีแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำให้งานดีขึ้นได้ เป็นโอกาสที่จะนำกลับไปสื่อสารกับทีมปฏิบัติงานและพัฒนางานที่ทำอยู่
หลายท่านแสดงความสนใจต่อแนวคิดการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ปฏิบัติงาน หรือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างพื้นที่ที่เป็นมากกว่าการดูงาน แต่อาจให้ผลดีกว่า เช่น ระบบพี่เลี้ยง ทั้งยังเห็นความสำคัญของการมีวงหารือแลกเปลี่ยนกัน โดยมีหน่วยงานส่วนกลางเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกิดโอกาสในการวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในอนาคต
ผู้เข้าร่วมเห็นประโยชน์ในการร่วมแลกเปลี่ยนจากมุมการทำงานของตัวเอง เห็นความเชื่อมโยงแม้มีบทบาทต่างกัน จึงทำให้การแลกเปลี่ยนขยายประเด็นเป็นภาพบทบาทของท้องถิ่นที่ควรทำและเกี่ยวข้องกับ หน่วยงานอื่น โดยเห็นพ้องกันว่า ท้องถิ่นต้องมีบทบาทเป็นหลักในการดำเนินการ
หน่วยงานของภาครัฐได้ปรับความเข้าใจร่วมกัน
ทั้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบาย ด้วยกันเอง และกับหน่วยงานในพื้นที่ และเป็นโอกาสให้ ผู้กำหนดนโยบายได้ทำความเข้าใจความท้าทายของ การทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ได้รับฟังปัญหา และชี้แจงส่วนที่เป็นข้อกังวลของผู้ปฏิบัติงาน
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้อง
จากการสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากกระบวนการที่ใช้วิธีการอันหลากหลาย จึงเกิดเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายขึ้น
การพัฒนาหน่วยประสาน การดูแลเพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยในระดับจังหวัด (Care Coordination Unit - CCU)
การเสริมพลังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
การปรับกลไกการทำงานของ คณะกรรมการผู้สูงอายแห่งชาติ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการผลักดันนโยบายรองรับสังคมสูงวัย